บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ในยุคปัจจุบัน
เป็นยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี
ซึ่งมีความเคลื่อนไหว และการ
เปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ
และวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว
การใช้ภาษาต่างประเทศจึงเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งในการติดต่อสื่อสาร การหาข้อมูลความรู้
ถ่ายทอดวิทยาการต่าง ๆ รวมทั้งการเจรจาต่อรองด้านการค้า และการประกอบอาชีพ
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
จึงช่วยสร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างชนชาติไทยและชนชาติอื่น
เพราะทำให้มีความเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของแต่ละเชื้อชาติ สามารถปฏิบัติต่อกันได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมไปสู่สังคมโลก
(กรมวิชาการ, 2545: 1)
จากความสำคัญของภาษาต่างประเทศ
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551
ได้กำหนดให้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้พื้นฐานหนึ่งใน 8
กลุ่ม ที่เสริมสร้างพื้นฐานความเป็นมนุษย์
และสร้างศักยภาพในการคิดและการทำงานอย่างสร้างสรรค์โครงสร้างของหลักสูตรภาษาต่างประเทศ
กำหนดตามระดับความสามารถทางภาษาและพัฒนาการของผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยจัดแบ่งเป็น 4
ระดับ คือ ระดับเตรียมความพร้อม (Preparatory Level) ในช่วงชั้น
ที่ 1 (ป.1- 3) ระดับต้น (Beginner Level) ในช่วงชั้นที่
2 (ป.4–6) ระดับกำลังพัฒนา(Development
Level) ในช่วงชั้นที่ 3 ( ม.1-3) และระดับก้าวหน้า (Expanding
Level) ช่วงชั้นที่ 4 (ม.4–6)
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2548: 2)
การเรียนภาษาต่างประเทศแตกต่างจากสาระการเรียนสาระการเรียนรู้อื่น
เนื่องจากผู้เรียนไม่ได้เรียนภาษาเพื่อความรู้เกี่ยวกับภาษาเท่านั้น
แต่เรียนภาษาเพื่อให้สามารถให้ภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อกับผู้อื่นได้ตามความต้องการในสถานการณ์ต่าง
ๆ ทั้งในชีวิตประจำวัน และการอาชีพ
การที่ผู้เรียนจะใช้ภาษาได้ถูกต้องคล่องแคล่วและเหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับทักษะการใช้ภาษา ดังนั้นการเรียนภาษาที่ดี ผู้เรียนจะต้องมีโอกาสฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาให้มากที่สุดทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
การจัดกระบวนการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติ
และลักษณะเฉพาะของการเรียนภาษาจึงควรประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งกิจกรรมการฝึกทักษะทางภาษา และกิจกรรมการฝึกผู้เรียนให้เรียนรู้วิธีการเรียนภาษาด้วยตนเองควบคู่ไปด้วยซึ่งจะนำไปสู่การเป็นผู้เรียนที่พึ่งตนเองได้
(Learner - independence)และสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต
(Lifelong learning)ทั้งด้านภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าประการหนึ่งของการปฏิรูปการเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ
ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความคาดหวังว่า เมื่อผู้เรียนภาษาต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาผู้เรียนจะมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศสื่อสารในสถานการณ์ต่าง
ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น
รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์
(ชมรมกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2544 : 2)
ในยุคโลกาภิวัฒน์ซึ่งเป็นยุคข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลในการสื่อสารระหว่างมวลมนุษย์ การที่คนในชาติมีความรู้ ความสามารถในภาษาที่เป็นภาษาสากลย่อมส่งผลต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง
(สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2541 : 6)
กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงปัญหา การพัฒนาความสามารถทางภาษาอังกฤษของคนไทย
และมีความพยายามที่จะปรับปรุงให้มีการสอนภาษาอังกฤษตลอดแนวจากระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา เพื่อที่จะพัฒนาให้ผู้เรียน มีสมรรถนะทางภาษาอังกฤษ
ในระดับที่สามารถติดต่อสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ สามารถที่จะมีความรู้ ความเข้าใจสานสนเทศต่าง
ๆที่มีอยู่ได้อย่างดี
กล่าวคือรู้พอที่จะเลือกสารสนเทศต่าง ๆ มาก่อให้เกิดประโยชน์แก่การพัฒนาความรู้ ความคิดของคนในโลกได้ อันนำไปสู่การพัฒนาประเทศ
ดังนั้นการที่จะให้บรรลุเป้าหมายจะเป็นไปได้ยากหากยังใช้หลักสูตรภาษาอังกฤษเดิม
ซึ่งการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมิได้เป็นวิชาพื้นฐานในระดับประถมศึกษา ผู้ที่เริ่มเข้าเรียนในระดับประถมศึกษา
ความแตกต่างในการจัดหลักสูตรเดิม
ทำให้เกดความแตกต่างในการจัดการเรียนการสอนและมาตรฐานของนักเรียน
ตลอดจนโอกาสของการที่จะพัฒนาสมรรถภาพทางภาษาอังกฤษในการออกไปประกอบอาชีพ และในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น (สุดาพร ลักษณิยนาวิน. 2540 : 1-11)
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาสากลที่มีผู้นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา
สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
ทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นซึ่งกันและกัน ตลอดจนเป็นเครื่องมือในการเสาะแสวงหาความรู้
และเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับประเทศที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ
หรือในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพูดนั้น ทักษะที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือ การอ่าน
ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือเพิ่มเติมในการติดต่อสื่อสาร การแสวงหาความรู้ และการประกอบอาชีพ
(สุมิตรา อังวัฒนกุล. 2539
: 57) เพราะนอกจากการอ่านจะพัฒนาบุคคล
และสังคมให้บุคคลมีความคิดสร้างสรรค์ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์
และก่อให้เกิดความเพลิดเพลินในยางว่างแล้ว ในด้านการใช้ประโยชน์
ทักษะการอ่านจะเป็นทักษะที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศมีโอกาสได้ใช้มากหลังจากจบการศึกษาไปแล้ว
ส่วนทักษะอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพูด การฟัง การเขียนนั้นจะมีโอกาสได้ใช้น้อยมาก
และอาจลืมไปได้ในที่สุด (Allen &Valette. 1979 : 281-289)
การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ
ซึ่งถือว่าเป็นภาษาต่างประเทศที่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่ก่อให้เกิดแนวทางการเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่การเมือง
การค้าและเศรษฐกิจ ซึ่งภาษาอังกฤษได้ปรากฏในสื่อต่าง ๆ
ของชีวิตประจำวันของคนไทยไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ ป้ายชื่อถนน ป้ายโฆษณา
แบบฟอร์มราชการ สลากยา การ์ตูน เป็นต้น ยุคข่าวสารข้อมูล
คนที่สามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ดีกว่าย่อมสืบค้นและพัฒนาทุกด้านได้มากกว่านั้นหมายความว่า
การศึกษาหาความรู้
เพื่อประกอบอาชีพในอนาคตย่อมมีแนวโน้มที่ดีกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเริ่มต้นพัฒนาทักษะ
การอ่านภาษาอังกฤษตั้งแต่เยาว์ จึงถือได้ว่าวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่ต้องพัฒนาทักษะการอ่านควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิต
จึงจะทำให้การเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตประสบผลสำเร็จสูงสุด
ทักษะการอ่านนั้น
เป็นทักษะที่ต้องใช้กันมากในชีวิตประจำวัน นักเรียนมักอ่านแล้วไม่เข้าใจ
และจับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้เกิดความเบื่อหน่าย และไม่รักการอ่าน ทำให้ความสามารถในการอ่านของนักเรียนต่ำ
จึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอน
และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการศึกษาที่จะต้องช่วยกันแก้ปัญหาดังกล่าวปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายควรให้ความสนใจแก้ไขอย่างจริงจังโดยเฉพาะครูผู้สอนจำเป็นต้องเร่งขวนขวายศึกษาเทคนิคต่าง
ๆ เพื่อนำมาพัฒนาการสอนอ่านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ซึ้งเป็นแนวทางหนึ่งที่ผู้วิจัยเห็นสมควรนำมาใช้ในการสอนเพื่อพัฒนาความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีขึ้น
คือการนำนิทานมาใช้เป็นสื่อในการสอนภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่สนุกสนานเร้าความสนใจ
เป็นกิจกรรมที่นักเรียนชื่นชอบ
มีความสนุกสนานและเร้าความสนใจแก่นักเรียนอย่างหนึ่ง(สุมณฑา ตันเจริญ. 2533
: 1-3)
โรงเรียนบ้านนาทับไฮ
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 เป็นโรงเรียนประถมขนาดเล็ก
มีนักเรียนทั้งหมดจำนวน 105 คน เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1
จนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
4 ประจำปีการศึกษา
2553มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 และในปีการศึกษา
2554มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 60 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเกณฑ์ของโรงเรียน
โดยเฉพาะผลการประเมินการอ่านภาษาอังกฤษมีคะแนนต่ำกว่าเฉลี่ยร้อยละ 45 (งานวิชาการโรงเรียน,2554)
จากข้อมูลข้างต้น
จะเห็นได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านนาทับไฮ
อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนกำหนดโดยเฉพาะ
ทักษะการอ่าซึ่งเป็นทักษะสำคัญและเป็นพื้นฐานของการพัฒนาทักษะอื่น
ๆ ดังนั้นผู้วิจัยเห็นว่า หากไม่แก้ไขปัญหานี้
อาจส่งผลให้ผู้เรียนไม่พัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ ซึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษต่ำนั้น
อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่น่าสนใจเท่าที่ควร
หรืออาจใช้วิธีการสอนไม่หลากหลาย ทำให้ไม่เร้าความสนใจของผู้เรียน
และจากประสบการณ์ของผู้สอนภาษาอังกฤษ พบว่าผู้เรียนมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษแตกต่างกัน
หรือมีความสามารถในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแตกต่างกัน
จึงส่งผลให้การจัดกิจกรรมการสอนอ่านไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรและทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านต่ำ
จากสภาพปัญหาดังกล่าว
ทำให้ผู้วิจัยสนใจจะพัฒนาความสามารถด้านการอ่านเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
4 โดยใช้นิทาน
ซึ่งการนำนิทานมาใช้ในการจัดกิจกรรมการสอนนั้นจะช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียนและเกิดการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนดีขึ้นนั้น
การทำวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยต้องการทราบว่าการใช้นิทานในการจัดกิจกรรมการสอนนั้นสามารถพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนได้หรือไม่
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งวัตถุประสงค์ของการวิจัยไว้ดังนี้
1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
4 ที่เรียนโดยใช้นิทานก่อนเรียนและหลังเรียน
2. เพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ที่มีต่อการสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทาน
สมมติฐานของการวิจัย
นักเรียนที่ได้รับการสอนภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานมีความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตของการวิจัย
การทำวิจัยครั้งนี้
มีขอบเขตของการวิจัย ดังนี้
1.
ประชากร
ประชากร
คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาเปงจานนคร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย
เขต 2 ภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2556
จำนวน 250 คน
2. ตัวแปรที่ศึกษา
2.1
ตัวแปรต้น
ได้แก่
การสอนภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสป
2.2
ตัวแปรตาม ได้แก่
2.2.1 ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
2.2.2 เจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสป
3. เนื้อหาที่ใช้ในการทดลอง
ในการวิจัยครั้งนี้
ผู้วิจัยได้คัดเลือกเนื้อหา บทอ่านที่ใช้ในการศึกษาเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ
และเหมาะสมกับระดับความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียนซึ่งผู้วิจัยที่ได้คัดเลือกเนื้อหามากจากหนังสือหลายเล่มหนังสือนิทานอีสป
นำมาจัดทำเป็นแผนการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจ
โดยใช้นิทาน และสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) จำนวน 12 เรื่อง มีจำนวน 12
แผน
แผนละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 24
ชั่วโมง
4. ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้ใช้เวลาในการทดลองทั้งสิ้น 24
ชั่วโมง
สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง
รวม 12 สัปดาห์ ในภาคเรียนที่ 1
ปีการศึกษา 2556
นิยามศัพท์เฉพาะ
ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นิยามศัพท์เฉพาะไว้ ดังนี้
1. การสอนโดยใช้นิทานอีสป คือ การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยนำบทนิทานอีสปเป็นกิจกรรมหลักในบทเรียน
2. ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถของนักเรียนในการแปลความ ตีความ
วิเคราะห์ความและสรุปความจากเรื่องที่อ่านซึ่งประเมินค่าจากคะแนนที่ได้ จากแบบาดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน
ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3. เจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
โดยใช้นิทาน
หมายถึง ความรู้สึกชอบ
หรือไม่ชอบ
พอใจหรือไม่พอใจ
ความรู้สึกด้านบวก
ด้านลบหรือเป็นกลางของนักเรียน ที่มีต่อการสอนภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ
โดยใช้นิทาน ซึ่งวัดจากแบบวัดเจตคติ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1.
ได้พัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ 4
โรงเรียนบ้านนาทับไฮ
ที่ได้รับการสอนโดยใช้นิทานอีสป
2. ทำให้ทราบเจตคติของนักเรียนต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังจากได้รับการสอนโดยใช้นิทานอีสป
3. ได้แผนการจัดการเรียนเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสป
4. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนที่สนใจในการพัฒนาการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้นิทานอีสป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น